ใกล้จบปี 2017 และก้าวเข้าสู่ปี 2018 เป็นช่วงที่นักการตลาดหลายคนต้องการอยากรู้เทรนด์ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา และปีต่อๆ ไปจะเป็นอย่างไรบ้าง ที่สำคัญ AI มันมาแน่ๆ
ฉกาจ ชลายุทธ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ Phoinikas ได้พูดในหัวข้อ World of Chaos ภายในงานสัมมนา Future is Now อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ และจะมีอิทธิพลต่อในอนาคตข้างหน้า โดยได้สรุปมาทั้งหมด 10 หัวข้อ
เป็น 10 สิ่งที่ต้องรู้ในปี 2017 และเป็นเทรนด์ต่อเนื่องไปถึงปี 2018 เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างวุ่นวาย จะมีเรื่องราวอะไรบ้าง ต้องไปดูกัน
1. Broken trust
ความล่มสลายในการเชื่อมั่นอย่างใดอย่างหนึ่ง มองว่ายุคนี้มีกูรูเยอะเกินไป ไม่เชื่อกูรูหลายคน ต้องมีสำนักข่าวที่บอกความจริงแก่ผู้บริโภค และมีมุมมองต่อแบรนด์ว่าต้องมีจุดยืนในสังคม มีผลสำรวจบอกว่าผู้บริโภคในอเมริกาจะเลือกซื้อสินค้าของแบรนด์ที่มีจุดยืนชัดเจน เช่น กรณีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีแบรนด์ที่ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจนว่าอยู่ฝั่งทรัมป์ หรือไม่อยู่ฝั่งทรัมป์ ผู้บริโภคก็ตัดสินใจชัดเจนในการเลือกซื้อสินค้าตามทัศนคติของตน
หรือเลือกแบรนด์ที่ทำให้สังคมดีขึ้น แบรนด์ต้องแสดงทัศนคติที่ชัดเจนให้คนคล้อยตาม เพราะฉะนั้นนักการตลาดต้องวางจุดยืนให้แบรนด์ ไม่ใช่ทำแต่ CSR แต่ต้องสร้างคุณค่าให้แบรนด์
2. หมดยุค Storytelling แต่เป็น Story doing
ในยุคนี้ทุกคนหันมาทำแคมเปญ Story telling กันหมด ทำการตลาด ทำคอนเทนต์ แต่การตลาดที่ดีต้องลงมือทำ ผู้บริโภคจะจดจำแบรนด์ที่ทำได้ดีกว่าแบรนด์ที่พูด จากผลสำรวจพบว่าแบรนด์ที่ทำ Story doing มีผลดีทั้งในแง่ของคุณค่า รายได้ และใช้งบลงทุนน้อยกว่า แต่มีการพูดถึงมากกว่า เช่น แบรนด์ Nike ที่ไม่พูดว่าให้ทุกคน Just do it แต่สนับสนุนให้คนลงมือทำ
3. Psychology & Behavior
จิตวิทยา และพฤติกรรมของผู้บริโภค ทุกวันนี้ผู้บริโภคมีทางเลือกเยอะมากมาย ทำให้เกิดศาสตร์ Behavior Economic ที่เพิ่งถูกคิดค้นขึ้น เป็นเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม มีผลสำรวจพบว่ามนุษย์ใช้เหตุผลในการตัดสินใจซื้อของเพียงแค่ 5% อีก 95% คืออารมณ์ล้วนๆ แล้วหาเหตุผลต่างๆ มาสนับสนุนเท่านั้น
แบรนด์ต้องทำอย่างไรให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายขึ้น เพราะสมองไม่ชอบเลือกมากนัก และผู้บริโภคจะชอบสินค้าที่เป็น Personalize เกิดมาเพื่อฉัน ทำให้คนซื้อมากขึ้น เช่น โค้กทำแคมเปญพิมพ์ชื่อเล่นยอดนิยมบนฉลากโค้ก ช่วยกระตุ้นให้คนสนใจและซื้อมากขึ้น
4. Brand as Experience
ต่อไปนี้แบรนด์จะไม่เป็นแบรนด์ แต่จะเป็นประสบการณ์ที่ดี ผู้บริโภคยุคนี้ชอบในเรื่องประสบการณ์ที่ได้รับจากแบรนด์มากกว่า เช่น การต่อแถวซื้อไอโฟนในแต่ละปี การทานอาหารในโรงแรม หลายคนมองว่ายอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่ดี ทำให้แบรนด์ต้องพัฒนาในการสร้างประสบการณ์ของตนเอง ต้องมีการ Design thinking เข้าใจความรู้สึกผู้บริโภคว่าต้องการอะไร แล้วดูว่าแบรนด์สามารถไปตอบโจทย์ตรงไหนได้บ้าง เพื่อให้มีประสบการณ์ที่ดีขึ้น
5. Brand Asset Data
ตอนนี้ดาต้ากลายเป็นทรัพย์สินสำคัญของแบรนด์ แต่ก่อนมองว่าดาต้าเป็นน้ำมันที่คนยุคใหม่ต้องการขุดขึ้นมาให้มีมูลค่า แต่ตอนนี้ดาต้ากลายเป็นแผ่นดินใหม่ที่ปลูกอะไรต่อก็ได้
มีการพูดถึง Big data มาหลายปี แต่จริงๆ แล้วข้างใน Big data อาจตะใช้งานไม่ได้ ตอนนี้ต้องเป็น Smart data ที่นำข้อมูลมาใช้ได้เลย เอามาวางแผนเรื่องการเงิน การซื้อของๆ ผู้บริโภค เทเลคอม สุขภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่เทรนด์ Face data เริ่มมีบทบาทจากสมาร์ทโฟนที่มีเทคโนโลยีสแกนใบหน้า ต่อไปจะเริ่มเก็บอารมณ์คนได้ เพราะฉะนั้นแบรนด์ต้องรู้จักการใช้ดาต้าให้มีประโยชน์ที่สุด
6. Mobile จะหายไป
การใช้มือถือจะหายไป แต่จะเป็นยุคของ AI คนจะปฏิสัมพันธ์กับ Chatbot มากขึ้น ได้เห็นพฤติกรรมวัยรุ่นนิยมแลทผ่าน UI ใหม่ เช่น มีการอ่านนิยายผ่านแชท หรือการสั่งงานผ่านเสียง เป็นยุคที่เทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่หน้าจอ แบรนด์ต้องเตรียมวิธีการสื่อสารให้ดีถ้าถึงในยุคที่ไม่มีจอ
7. New Reality
โลกใหม่ด้วยเทคโนโลยี AR/VR กล้องถ่ายรูปจะทำอะไรได้มากขึ้น สแกนทุกอย่างได้ เช่น Pinterest ตามหาภาพด้วยรูปที่ถ่าย หนือต่อไปจะมีแว่นมาแทนมือถือ กลายเป็นโลกใหม่ด้วยเทคโนโลยี มีอุปกรณ์ใหม่ๆ ออกมาอยูาเรื่อยๆ อย่าง Google กำลังทำคอนแทค เลนส์แล้วใส่ AR จะเห็นภาพคอมพิวเตอร์ในตา จะเห็นว่าแบรนด์เริ่มทำ AR เป็นของตัวเองมากขึ้น
8. Autonomous Life
มนุษย์จะขี้เกียจมากขึ้นจะมีรถยนต์อัติโนมัติออกมา เพราะคนขี้เกียจขับรถ อุปกรณ์ในเรื่อง Voice search มีการใช้งานสูงขึ้น อย่าง Amazon จะเริ่มทำอุปกรณ์ Voice technology ที่มีจอภาพสามารถดู Youtube ได้ เพราะคนฝรั่งชอบทำอาหาร มักใช้อุปกรณ์นี้ในครัว
9. แบรนด์ต้องมี Ecosystem
Amazon ในอดีตขายแต่หนังสือ แต่ต่อมาก็สร้างร้านขายหนังสือขึ้นมา เพื่อสร้าง Ecosystem ในการดันสินค้าขึ้นมา ให้คนทั่วไปเห็นกระบวนการทำงานว่าเป็นอย่างไร หรืออย่างร้านแว่นตา Warby Partner เป็นร้านขายออนไลน์ ได้ทำร้านแว่นขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้าได้ลองแว่นแล้วมาสั่งซื้อออนไลน์
ส่วน Apple เป็นตัวอย่างที่เห็นภาพชัดที่สุด มีการสร้างอุปกรณ์ทุกอย่างที่เชื่อมเข้าด้วยกัน อุปกรณ์เสริมก็ต้องใช้กับ Apple อย่างเดียวเท่านั้นถึงได้ประสบการณ์ที่ดี
10. Rise of AI
ในอนาคตจะมีหลายอาชีพที่จะหายไปเพราะ AI ได้เข้ามา เช่น Tele Marketing, คนทำบัญชี, พนักงานขาย, นักวิเคราะห์ หุ่นยนต์จะเข้ามาทำแทนหมด ในต่างประเทศเริ่มทำการวิเคราะห์จากใบหน้าคนแล้วว่ามีสีหน้าต้องการอะไรบ้าง AI สามารถคำนวนได้ทุกอย่าง หลายคนลงทุนใน AI เยอะ เข้ามาอยู่เบื้องหลังในการทำการตลาดทุกอย่าง นักการตลาดจะใช้แรงน้อยลง ใช้ AI มากขึ้น ถ้าแบรนด์ไม่มีอาจจะทำให้ทำตลาดกว่าคนอื่น แบรนด์ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้นได้บ้าง
จาก Brand Inside